
ล้วงลึกเรื่องเสาเข็ม: ต้องลงลึกแค่ไหน?
การลงเสาเข็มคือหัวใจสำคัญของการสร้างบ้านที่มั่นคงแข็งแรง เปรียบเสมือนรากแก้วที่คอยพยุงโครงสร้างทั้งหมดไว้ ไม่ให้ทรุดตัวหรือแตกร้าวในอนาคต คำถามยอดฮิตที่เจ้าของบ้านหลายคนสงสัยคือ “เสาเข็มต้องลงลึกกี่เมตร?” และ “ควรใช้เสาเข็มประเภทไหนดีที่สุด?” บทความนี้จะพาไปหาคำตอบที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม เพื่อให้บ้านของคุณตั้งอยู่บนรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุด
หัวใจสำคัญ: ทำไมต้องลงเสาเข็มให้ถึงชั้นดินแข็ง?
คำตอบที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุดสำหรับคำถามว่า “ต้องลงเสาเข็มลึกแค่ไหน” คือ ต้องลงให้ปลายเสาเข็มไปถึงชั้นดินแข็ง (Hard Soil Layer)
ในทางวิศวกรรม การรับน้ำหนักของเสาเข็มมี 2 ส่วนหลักคือ:
- แรงเสียดทานระหว่างผิวเสาเข็มกับดิน (Skin Friction): เกิดขึ้นตลอดความยาวของเสาเข็มที่จมอยู่ในดิน
- แรงแบกทานที่ปลายเสาเข็ม (End Bearing): คือแรงที่ปลายเสาเข็ม gดทับลงบนชั้นดินแข็ง
สำหรับพื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีชั้นดินอ่อนอยู่หนามาก การรับน้ำหนักจากแรงเสียดทานเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะรับน้ำหนักบ้านทั้งหลังได้ในระยะยาว ดังนั้น การตอกหรือเจาะเสาเข็มให้ลึกลงไปจนถึงชั้นดินแข็งที่อยู่ด้านล่างจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ปลายเสาเข็มทำหน้าที่เป็น “ขาหยั่ง” ถ่ายเทน้ำหนักของโครงสร้างทั้งหมดลงสู่ชั้นดินที่แข็งแรง ป้องกันปัญหาบ้านทรุดได้อย่างเด็ดขาด
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าชั้นดินแข็งอยู่ที่ไหน?
ความลึกของชั้นดินแข็งนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น
- กรุงเทพมหานคร: โดยเฉลี่ยอยู่ที่ความลึกประมาณ 18 – 25 เมตร
- พื้นที่อื่นๆ: อาจตื้นหรือลึกกว่านี้มาก
ดังนั้น การคาดเดาหรือใช้ข้อมูลจากบ้านข้างเคียงจึงมีความเสี่ยงสูง วิธีการที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุดคือ การเจาะสำรวจชั้นดิน (Soil Investigation) โดยวิศวกรจะทำการเจาะดินในบริเวณที่จะก่อสร้าง เพื่อเก็บตัวอย่างดินและทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการ รวมถึงการทดสอบค่าความแข็งของดิน ณ สถานที่จริงที่เรียกว่า Standard Penetration Test (SPT) ผลลัพธ์ที่ได้จะบอกข้อมูลสำคัญทั้งหมด เช่น ประเภทของดินในแต่ละชั้นความลึก และที่สำคัญคือความลึกของชั้นดินแข็งที่แน่นอนที่สุด ซึ่งวิศวกรจะใช้ข้อมูลนี้ในการออกแบบความยาวและขนาดของเสาเข็มต่อไป
เมื่อถึงขั้นตอนการตอกเสาเข็มจริง จะมีการตรวจสอบอีกครั้งด้วยการนับ “Blow Count” คือการนับจำนวนครั้งที่ลูกตุ้มตอกลงบนเสาเข็มเพื่อให้เสาเข็มจมลง 1 ฟุต หากจำนวนครั้งที่ตอกสูงถึงเกณฑ์ที่วิศวกรกำหนด (เรียกว่า Last 10 Blow Count) ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าปลายเสาเข็มได้หยั่งลงในชั้นดินแข็งที่ต้องการแล้ว

เลือกเสาเข็มประเภทไหนให้ “มั่นคงแข็งแรงสุด”?
1. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง (Prestressed Concrete Pile)
เป็นเสาเข็มสำเร็จรูปที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับงานก่อสร้างทั่วไป ผลิตในโรงงานโดยใช้เทคนิค “อัดแรง” คือการดึงลวดเหล็กรับแรงดึงสูง (PC wire) ที่ฝังอยู่ในเนื้อคอนกรีตให้ตึงก่อน แล้วจึงเทคอนกรีตลงในแบบหล่อ เมื่อคอนกรีตแข็งตัวได้ที่ก็จะตัดลวดเหล็กออก แรงที่ลวดหดกลับจะสร้างแรงอัดเข้าไปในเนื้อคอนกรีต ทำให้เสาเข็มมีความแข็งแกร่งสูงกว่าคอนกรีตเสริมเหล็กธรรมดา สามารถทนทานต่อแรงดึงและแรงกระแทกจากการตอกได้ดี
2. เสาเข็มเจาะ (Bored Pile)
เป็นเสาเข็มที่สร้างขึ้น ณ สถานที่ก่อสร้างเลย ไม่ได้ผลิตจากโรงงาน เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีข้อจำกัดเรื่องเสียงและแรงสั่นสะเทือน เช่น ในชุมชนเมืองหรือการก่อสร้างที่ติดกับอาคารเดิม
3. เสาเข็มไมโครไพล์ (Micropile)
เป็นเสาเข็มขนาดเล็ก แต่มีความสามารถในการรับน้ำหนักสูง ออกแบบมาเพื่อใช้งานในพื้นที่จำกัดโดยเฉพาะ เช่น งานต่อเติมบ้าน, การเสริมฐานรากอาคารเดิม หรือพื้นที่ที่เครื่องจักรขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง เสาเข็มไมโครไพล์ที่นิยมมากคือ “เสาเข็มสปันไมโครไพล์” (Spun Micropile) ซึ่งเป็นเสาเข็มกลมกลวงที่ผลิตแบบเดียวกับเสาเข็มสปันขนาดใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกว่าและมาเป็นท่อนๆ ยาวท่อนละ 1.5 เมตร
4. เสาเข็มเหล็ก (Steel Pile)
คือการใช้เหล็กรูปพรรณ (Structural Steel) ที่มีความแข็งแรงสูงมาทำเป็นเสาเข็มโดยตรง สามารถตอกลงไปในดินได้เลย มักใช้ในงานที่ต้องการความรวดเร็วสูง, งานชั่วคราว, หรืองานที่ต้องการความสามารถในการรับแรงดึงสูง เช่น โครงสร้างที่ต้องรับแรงลมหรือแรงแผ่นดินไหว
ตารางเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของเสาเข็มประเภทต่างๆ
ประเภทเสาเข็ม | ข้อดี (Advantages) | ข้อเสีย (Disadvantages) |
1. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง (แบบตอก: ตัว I, สี่เหลี่ยม, สปัน) | ✅ ราคาประหยัด (โดยเฉพาะแบบ I) ✅ ติดตั้งรวดเร็ว ✅ คุณภาพสม่ำเสมอ ควบคุมจากโรงงาน ✅ ตรวจสอบการรับน้ำหนักปลายเข็ม (Blow Count) ได้ง่าย | ❌ เสียงดังและมีแรงสั่นสะเทือนสูงมาก ❌ ไม่เหมาะกับพื้นที่แคบ หรือมีอาคารข้างเคียง ❌ อาจแตกหักได้ หากเจอชั้นดินแข็งหรืออุปสรรคใต้ดิน ❌ มีข้อจำกัดด้านการขนส่ง หากเสาเข็มยาว |
2. เสาเข็มเจาะ (แบบเปียก/แบบแห้ง) | ✅ เสียงเบาและแรงสั่นสะเทือนน้อยมาก ✅ เหมาะกับพื้นที่ในเมือง หรือก่อสร้างติดเพื่อนบ้าน ✅ ลดปัญหาดินดันอาคารข้างเคียง ✅ ปรับขนาดและความลึกได้หน้างาน | ❌ ราคาสูงกว่าเสาเข็มตอก ❌ ใช้เวลาในการทำนานกว่า ❌ คุณภาพขึ้นอยู่กับความชำนาญของทีมงาน และการควบคุม ❌ หน้างานอาจเลอะเทอะ จากดินและโคลนที่เจาะขึ้นมา |
3. เสาเข็มไมโครไพล์ (ส่วนใหญ่เป็นแบบสปัน) | ✅ เหมาะกับพื้นที่แคบและจำกัด เข้าถึงได้แม้ในตัวอาคาร ✅ แรงสั่นสะเทือนต่ำมาก ปลอดภัยกับโครงสร้างเดิม ✅ รับน้ำหนักได้สูง เมื่อเทียบกับขนาด ✅ หน้างานสะอาด ไม่ต้องขนดินไปทิ้ง | ❌ ราคาสูงที่สุด ในกลุ่มเสาเข็มสำหรับบ้านพักอาศัย ❌ ใช้เวลาติดตั้งนานกว่าเสาเข็มตอก เพราะต้องเชื่อมต่อทีละท่อน |
4. เสาเข็มเหล็ก (H-Pile, Pipe Pile) | ✅ แข็งแรงและเหนียวมาก ไม่แตกหักจากการตอก ✅ ติดตั้งได้รวดเร็วที่สุด ✅ ต่อความยาวได้ง่าย ด้วยการเชื่อม ✅ น้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับการรับน้ำหนัก | ❌ ราคาสูงมาก เนื่องจากเป็นวัสดุเหล็กทั้งท่อน ❌ เกิดสนิมได้ในระยะยาว ต้องมีการป้องกันที่ดี ❌ ไม่เป็นที่นิยมสำหรับงานบ้านพักอาศัยทั่วไป ในไทยเนื่องจากค่าใช้จ่าย |
https://www.facebook.com/belle.bellelief | https://www.youtube.com/@belle.bellelief
https://bellelief.com/sell-land-bangkok/ , https://bellelief.com/sell-property-bangkok/