
ราคาประเมินที่ดิน รู้ก่อนซื้อ-ขาย
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกประกาศปรับ ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ พ.ศ. 2566–2569 ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการคำนวณภาษี ค่าธรรมเนียมการโอน และเป็นดัชนีอ้างอิงหนึ่งที่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และสถาบันการเงินใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ บทความนี้จะอธิบายความหมายของราคาประเมิน สรุปการเปลี่ยนแปลงรอบใหม่ โดยเจาะลึกเฉพาะกรุงเทพมหานคร และให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติที่ผู้ซื้อ-ผู้ขายควรใช้
ราคาประเมินที่ดินคืออะไร และสำคัญอย่างไร
ราคาประเมินที่ดิน เป็นราคาที่หน่วยงานรัฐ (เช่น กรมธนารักษ์/ธนาคารแห่งประเทศไทยในบางกรณี) กำหนดขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นฐานคำนวณภาษีและค่าธรรมเนียม เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีธุรกิจเฉพาะ กรมที่ดินอาจใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี ราคาประเมินต่างจาก ราคาตลาด (market price) ที่สะท้อนแรงซื้อ‑ขายในเวลานั้น ราคาประเมินมักมีการปรับเป็นรอบ (ทุก 3–4 ปี) ดังนั้นในช่วงที่ราคาตลาดเปลี่ยนรวดเร็ว ราคาประเมินอาจตามไม่ทัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างราคาประเมินและราคาตลาดจริง
อะไรที่เปลี่ยนในรอบ 2566–2569
สรุปการเปลี่ยนแปลงสำคัญของรอบใหม่:
- ปรับขึ้นเฉลี่ยทั่วประเทศ ประมาณ 8–10% (ตัวเลขขึ้นอยู่กับทำเลและประเภทที่ดิน)
- บางจังหวัด/อำเภอมีการปรับเพิ่มสูงมาก (ตัวอย่างที่รายงานในสื่อมีบางพื้นที่ปรับเพิ่มเป็นหลักสิบถึงหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ในแปลงเฉพาะ)
- กรุงเทพมหานคร: ทำเลศักยภาพสูงในเขตใจกลางเมือง (เช่น เพลินจิต วิทยุ สยาม สีลม) มีการปรับขึ้นที่เห็นได้ชัด ทำให้ราคาประเมินในบางซอย/เขตเข้าใกล้หรือสูงกว่าราคาในอดีตอย่างมีนัย
หมายเหตุ: ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ตามตัวอย่างในบทความนี้อ้างอิงการรายงานสำนักข่าวและบทวิเคราะห์อสังหาฯ (โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากกรมธนารักษ์หรือเว็บไซต์ประกาศราชการเมื่อใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการ)
กรุงเทพฯ: พื้นที่ใดปรับขึ้นมากสุด และเพราะอะไร
- เขตศูนย์กลางธุรกิจและย่านพักอาศัยระดับไฮเอนด์ — ทำเลเพลินจิต วิทยุ สีลม สาทร ราชดำริ และสยามเป็นตัวอย่างที่เห็นการปรับขึ้นของราคาประเมินชัดเจน เพราะมีความต้องการเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
- โซนเชื่อมต่อระบบคมนาคมใหม่ — พื้นที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายใหม่หรือแยกเปลี่ยนถ่ายสำคัญ ราคาประเมินมักถูกปรับขึ้นสะท้อนศักยภาพในการพัฒนาเชิงพาณิชย์
- เขตชานเมืองที่พัฒนาเป็นศูนย์กลางใหม่ — บางเขตชานเมืองที่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการ Mixed‑Use ขนาดใหญ่ ก็มีการปรับสูงตาม
สาเหตุหลักของการปรับ: การเติบโตของราคาเชิงตลาด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดิน และนโยบายการพัฒนาเมือง
ผลกระทบต่อการซื้อ‑ขาย (เจาะลึกสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายใน กทม.)
1) ต่อต้นทุนการซื้อ — ภาษี & ค่าธรรมเนียม
- ภาษีและค่าธรรมเนียมโอน: หลักการคำนวณใช้ราคาประเมินเป็นฐานหนึ่งในการพิจารณา (ควบคู่ไปกับราคาซื้อขายที่แจ้ง) ทำให้เมื่่อราคาประเมินสูงขึ้น ผู้ซื้อหรือผู้ขายอาจเห็นต้นทุนการโอนหรือภาษีสูงขึ้นตามไปด้วย
- ค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ: ธนาคารอาจพิจารณาราคาประเมินประกอบกับราคาตลาดในการประเมินเกณฑ์การให้สินเชื่อและวงเงินจำนอง
2) ต่อการตั้งราคาและการต่อรอง
- ผู้ขายอาจใช้ราคาประเมินที่สูงขึ้นเพื่ออ้างอิงในการตั้งราคาขาย แต่ผู้ซื้อยังคงยึดราคาตลาดและสภาพที่ดินจริงเป็นหลักในการต่อรอง
- ในบางกรณีที่ราคาประเมินสูงกว่าราคาตลาด อาจทำให้การขายติดขัดเพราะผู้ซื้อไม่ต้องการจ่ายภาษี/ค่าธรรมเนียมเพิ่ม
3) ต่อการขอสินเชื่อ (LTV & การประเมินจากธนาคาร)
- ธนาคารมักใช้ราคาประเมินร่วมกับราคาตลาดเมื่อตรวจสอบความเสี่ยง หากราคาประเมินสูงขึ้นแต่ราคาจริงไม่สูงตาม ธนาคารอาจลดสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อหรือเรียกเก็บหลักประกันเพิ่ม
4) ต่อภาษีที่ดินและที่อยู่อาศัยระยะยาว
- เจ้าของที่ดินที่ถือครองเพื่อการลงทุนอาจเผชิญภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นเมื่อราคาประเมินถูกใช้เป็นฐานคำนวณภาษีโรงที่ดิน (สำหรับการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในรูปแบบต่าง ๆ)
5) ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน
- ช่วงที่ราคาประเมินขยับขึ้นเร็ว หากตลาดชะลอหรือราคาตลาดปรับลด ผู้ถือครองที่ดินอาจเจอภาระภาษีสูงโดยไม่สามารถขายทำกำไรได้ทันเวลา
คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ (สำหรับผู้ซื้อ & ผู้ขายใน กทม.)
สำหรับผู้ซื้อ
- อย่าอิงแค่ราคาประเมิน — ตรวจสอบราคาตลาดจริงในทำเลเดียวกัน (ข้อมูลจากรายการขายจริง, เว็บไซต์อสังหาฯ และการดูทรัพย์จริง)
- คำนวณต้นทุนรวม (ราคา + ภาษี + ค่าธรรมเนียม + ค่าจดจำนอง) ก่อนตัดสินใจ
- หากเป็นการซื้อเพื่อการลงทุน ระวังภาระภาษีระยะยาวและวางแผน exit strategy
สำหรับผู้ขาย
- ใช้ราคาประเมินเป็นข้ออ้างอิงแต่พร้อมยืดหยุ่นเมื่อต่อรอง
- พิจารณาออกเอกสารประเมินมูลค่าเอกชน (Valuation Report) เพื่อสนับสนุนราคาขาย
- เตรียมข้อมูลภาษีที่อาจเพิ่มขึ้นให้ผู้ซื้อรับทราบล่วงหน้า เพื่อลดความกังวล
สำหรับนักลงทุน/นักพัฒนา
- ประเมินความคุ้มค่าโครงการโดยรวม ไม่เพียงแค่ราคาที่ดิน แต่รวมค่าใช้จ่ายภาษี ค่าดำเนินการ และอัตราคืนทุน
- สำรวจโซนรอบนอกที่มีแนวโน้มเติบโต แต่ต้องคำนึงถึงต้นทุนรวมทั้งหมด
วิธีตรวจสอบราคาประเมินที่ดินด้วยตัวเอง (แหล่งข้อมูลและขั้นตอน)
- เข้าเว็บไซต์กรมธนารักษ์ หรือระบบตำแหน่งที่ดิน (เช็กแปลงที่ดินเป็นรายแผนที่)
- ใช้เครื่องมือ LandsMaps/ระบบแผนที่ออนไลน์ที่หน่วยงานราชการจัดให้ (ค้นหาตามที่ตั้ง/โฉนด)
- เปรียบเทียบกับราคาขายปัจจุบันจากเว็บไซต์อสังหาฯ และรายการประกาศขายใกล้เคียง
- หากจำเป็น ให้จ้างผู้ประเมินเอกชนเพื่อได้รายงานมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นทางการ
ประเด็น | ก่อนปรับราคาประเมิน | หลังปรับราคาประเมิน (2566–2569) | ผลกระทบ |
---|---|---|---|
ราคาที่ดินเฉลี่ย กทม. | คงที่จากรอบก่อนหน้า | เพิ่มขึ้น 8–10% | มูลค่าทรัพย์สูงขึ้น |
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง | ต่ำกว่าเดิม | เพิ่มขึ้นตามราคาประเมิน | เจ้าของทรัพย์จ่ายภาษีมากขึ้น |
ค่าธรรมเนียมโอน | คิดจากราคาประเมินเดิม | เพิ่มตามราคาประเมินใหม่ | ค่าโอนสูงขึ้น |
ราคาตลาดอสังหาฯ | ทรงตัว | ขยับขึ้นตามต้นทุนที่ดิน | ผู้ซื้อรับภาระเพิ่ม |
การลงทุน | อัตราผลตอบแทนปานกลาง | ROI ลดลงช่วงสั้น | นักลงทุนต้องวิเคราะห์จุดคุ้มทุนใหม่ |
https://www.facebook.com/belle.bellelief | https://bellelief.com/bellelief-why/